วัตถุประสงค์หลัก คือ ตรวจสอบสภาพโดยทั่วไปของโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก
การทดสอบเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติทางกล (Mechanical Properties), คุณสมบัติทางเคมี
(Chemical Make-up), การประเมินผลการทดสอบเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของการเสื่อมสภาพและประเมิณคุณภาพของโครงสร้างคอนกรีต
จัดทำรายงานการตรวจสอบสภาพโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อเสนอแนะวิธีการซ่อมแซมและป้องกันคอนกรีต
1. การสำรวจสภาพความเสียหายทั่วไปด้วยการตรวจพินิจ (Visual Inspection) พร้อมทั้งบันทึกรูปแบบความเสียหาย
วัดขนาดและความยาวของรอยแตกร้าวที่เกิดขึ้น รวมทั้งภาพถ่ายจากการสำรวจและภาพสเก็ตความเสียหาย (Crack Mapping) เพื่อระบุตำแหน่งที่เกิดความเสียหายบนโครงสร้าง
โดยยึดรูปแบบและการปฏิบัติตามมาตรฐาน ACI 201.1R-92 : Guide for Making a
Condition Survey of Concrete in Service
2. การทดสอบคุณสมบัติทางกล
(Mechanical
Properties) โดยใช้วิธีการทดสอบแบบไม่ทำลาย (Non-destructive
Test) แบ่งการทดสอบเป็น ดังนี้
- ทดสอบกำลังรับแรงอัดของคอนกรีตแบบทำในที่
โดยการวัดค่าสะท้อนกลับของคอนกรีตตามมาตรฐานการทดสอบ ASTM C805-97 :
Rebound Number of Hardened Concrete
-
ทดสอบความต่อเนื่องและสม่ำเสมอของคอนกรีต โดยการทดสอบความเร็วคลื่น Ultrasonic
ที่ส่งผ่านคอนกรีตตามมาตรฐานการทดสอบ ASTM C597-97 : Pulse
Velocity Through Concrete
3. การทดสอบคุณสมบัติทางเคมี
(Chemical
Make-up)
- การตรวจสอบการผุกร่อน (Corrosion) ที่เกิดขึ้นในเหล็กเสริม
อันเนื่องมาจากความต่างศักดิ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง Anodic และ Cathodic
ในเหล็กเสริมตามมาตรฐานการทดสอบ ASTM C876-87 : Half Cell
Potential of Uncoated Reinforcing Steel in Concrete
- การทดสอบการเกิดปฏิกิริยาคาร์บอเนชั่น
โดยวิธีการสุ่มเจาะเพื่อเก็บชิ้นตัวอย่าง (Drilled Core Test) จากโครงสร้างจริงนำไปทดสอบการเกิดปฏิกิริยาคาร์บอเนชั่นตามมาตรฐานการทดสอบ
ASTM C856 : Carbonation Depth
-
การทดสอบหาปริมาณคลอไรด์
โดยการเก็บตัวอย่างผงคอนกรีตจากโครงสร้างจริงโดยการเจาะคอนกรีตด้วยสว่านหรือทำการ Coring
ก้อนตัวอย่างแล้วนำมาบดให้เป็นผงตามมาตรฐานการทดสอบ ASTM
C114 , AASHTO T260 : Chloride Test
การทดสอบกำลังรับแรงอัดของคอนกรีตแบบทำในที่ (Rebound Number
of Hardened Concrete)
การทดสอบกำลังรับแรงอัดในที่
เป็นการวัดความแข็งแรงของคอนกรีตที่ผิว โดยความแข็งแรงที่ผิวของคอนกรีตมีความสัมพันธ์กับกำลังอัดของคอนกรีต
วิธี Rebound
(Schmidt hammer) ใช้ตัวกระแทกสปริงสร้างแรงกระแทกที่ผิวคอนกรีต
ทำให้เกิดการสะท้อนกลับ
ค่าการสะท้อนกลับจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับค่าการยืดตัวของสปริง จะ
ได้ค่า
Rebound
number และแปรผลเป็นค่ากำลังอัดคอนกรีต เป็นการทดสอบแบบไม่ทำลาย (Non-destructive
Test)
การทดสอบกำลังรับแรงอัดของคอนกรีตแบบทำในที่นั้น
ใช้เครื่องมือ Schmidt hammer Type N ตามมาตรฐาน ASTM C805 อายุของคอนกรีตและระยะการเกิดปฏิกิริยาคาร์บอเนชั่นจากพื้นผิวเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ค่าการสะท้อนกลับที่วัดได้สูงเกินกว่าความเป็นจริง
เพื่อให้ค่าที่อ่านได้มีความถูกต้องจำควรนำพื้นผิวส่วนหน้าและพื้นผิวที่เกิดปฏิกิริยาคาร์บอเนชั่นบนโครงสร้างออกด้วยเครื่องขัดแต่งผิวหน้าคอนกรีตแล้วจึงทำการวัด
การทดสอบความต่อเนื่องและสม่ำเสมอของคอนกรีตโดยใช้คลื่นอุลตร้าโซนิค
(Ultrasonic
Pulse Velocity Test)
การทดสอบความต่อเนื่องและสม่ำเสมอของคอนกรีตโดยใช้คลื่นอุลตร้าโซนิค
ด้วยวิธี Pulse
velocity เป็นการใช้หลักการเดินทางของคลื่น ultrasonic ระหว่างอุปกรณ์ตัวส่งและตัวรับผ่านวัสดุ โดยใช้เครื่องมือ Pundit
(Portable Ultrasonic Non Destructive Integrity Test) ตามมาตรฐาน ASTM
C597เครื่องจะทำการแปลงสัญญาณที่ได้รับออกมาเป็นเวลาในการเดินทางผ่านเนื้อคอนกรีต
หากทราบระยะทางก็สามารถคำนวณหาความเร็วของคลื่นได้ โดยปกติคอนกรีตที่มีความหนาแน่นและแข็งแรง
(กำลังอัดสูง)มากเท่าใด
ความเร็วจะยิ่งมาก
วิธี Pulse velocity เป็นวิธีที่รวดเร็วสำหรับการตรวจสอบความสม่ำเสมอของเนื้อคอนกรีต
เป็นการทดสอบแบบไม่ทำลายและใช้ได้ดีกับการตรวจสอบคุณภาพในปริมาณมาก
นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบรอยแตกที่ซ่อมแซมแล้ว
โดยเปรียบเทียบค่าที่อ่านได้บริเวณที่มีการซ่อมแซม
กับค่าที่อ่านได้บริเวณที่ไม่มีการซ่อมแซม
หากรอยแตกได้รับการซ่อมแซมที่ดีค่าความเร็วที่อ่านได้จะมีค่าใกล้เคียงกัน
การทดสอบการผุกร่อนที่เกิดขึ้นในเหล็กเสริม (Half Cell
Potential Test)
การผุกร่อนในเหล็กเสริม
(Corrosion)
นับได้ว่าเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายและลดอายุการใช้งานของคอนกรีตลง
เป็นการเสื่อมสภาพเนื่องจากปฏิกิริยาไฟฟ้า-เคมีของเหล็กเสริม
โดยปกติแล้วเหล็กเสริมที่อยู่ในคอนกรีตจะถูกปกป้องไม่ให้เกิดการผุกร่อนด้วยฟีล์มออกไซด์บางๆ
(Passive film) ซึ่งจะคงสภาพได้ดีภายใต้สภาวะความเป็นด่างสูงของคอนกรีต
(pH > 12) เมื่อ Passive film ของเหล็กเสริมถูกทำลายลงจากคาร์บอเนชันหรือคลอไรด์
ในสภาวะที่ความเป็นด่างลดลงหรือกลายเป็นกรดจะเกิดเซลล์ไฟฟ้า-เคมีขึ้น
เมื่อเหล็กที่ผุกร่อนจะเกิดความต่างศักย์ขึ้นระหว่าง Anodicและ
Cathodic ในเหล็กเสริม
การผุกร่อนในเหล็กเสริมสามารถวัดโดย
coppercopper sulfate half cellการทดสอบการเกิดการผุกร่อนของเหล็กเสริมด้วยวิธี
Half cell potential ซึ่งดำเนินตามขั้นตอนตามมาตรฐาน ASTM
C876 : Half cell potentials of reinforcing steel in concreteและอ่านค่าความต่างศักย์บริเวณที่ทำการทดสอบในลักษณะของตาราง
เพื่อทำเป็นแผนที่ของความต่างศักย์ การวัดค่าความต่างศักย์ Half cell สามารถแปลผลได้ ดังนี้
•
ค่า
-0.20
ถึง -0.35 Volt = อาจมีการผุกร่อน
•
ค่าลบต่ำกว่า
-0.35
Volt = มากกว่า 90% มีการผุกร่อน
•
ค่าเป็นบวก
การทดสอบใช้การไม่ได้เนื่องจากคอนกรีตมีความชื้นไม่เพียงพอ
การทดสอบการเกิดปฏิกิริยาคาร์บอเนชั่น (Carbonation Depth Test)
โดยทั่วไปคอนกรีตที่มีคุณภาพจะช่วยป้องกันมิให้เหล็กเสริมเกิดการกัดกร่อนได้
โดยความเป็นด่างของคอนกรีตจะช่วยสร้างฟิล์มออกไซด์บางๆมาห่อหุ้มผิวเหล็กเสริม
เรียกว่า Passive film อย่างไรก็ตามจะเกิดปฏิกิริยาคาร์บอเนชั่น
(Carbonation) ขึ้นกับคอนกรีต
ซึ่งเป็นกระบวนการที่คอนกรีตทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศและซัลเฟอร์ไดออกไซด์
โดยกระบวนการนี้จะไปลดความเป็นด่างที่ผิวคอนกรีตและลึกเข้าไปเรื่อยๆ
การทดสอบการเกิดปฏิกิริยาคาร์บอเนชั่นตามมาตรฐานการทดสอบ
ASTM C856จะทำการทดสอบกับพื้นผิวหน้าตัดคอนกรีต
ซึ่งสามารถทำได้โดยเจาะแท่งตัวอย่างคอนกรีต(coring) แล้วผ่าตัวอย่างแท่งคอนกรีตออกเป็น
2 ส่วนจากนั้นพ่นสเปรย์ด้วยสาร Phenopthalein ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม เมื่อค่า pH มากกว่า 9.2
แต่จะไม่มีสีหากค่า pH น้อยกว่า 9.2 (มีการเกิดปฏิกิริยาคาร์บอเนชัน)
การทดสอบหาปริมาณคลอไรด์ของคอนกรีต (Chloride Test)
การทดสอบหาปริมาณคลอไรด์ตามมาตรฐานการทดสอบ
ASTM
C114เป็นการทดสอบที่สามารถทำได้โดยการเก็บตัวอย่างผงคอนกรีตจากโครงสร้างจริง
โดยการเจาะคอนกรีตด้วยสว่านหรือทำการ coringแล้วนำมาบดให้เป็นผง ซึ่งปริมาณคลอไรด์ที่แทรกซึมในคอนกรีตจะเข้มข้นมากที่ผิวของคอนกรีตและจะลดลงเมื่อความลึกเพิ่มขึ้น
No comments:
Post a Comment